วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2552

อุปกรณ์กันหนาวของชาวอาทิตย์อุทัย





ฤดูหนาว (fuyu) ในประเทศญี่ปุ่น เริ่มขึ้นตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน ไปจนถึงเดือนกลางเดือนกุมภาพันธ์ ในแถบทางเหนือหรือในเขต Hokkaido จะมีอุณหภูมิต่ำและยาวนาน และยังมีเทศกาลหิมะที่มีชื่อเสียงอีกด้วย ส่วนทางตอนกลางของประเทศในแถบ Kansai หรือ แถบ Tohoku ก็มีอุณหภูมิที่ต่ำและหนาวเย็น จนถึงหิมะตกทุกปี ส่วนทางเกาะใต้อย่าง Okinawa แม้จะไม่มีหิมะแต่อุณหภูมิก็ต่ำว่า 10 องศาในเวลากลางคืน




ด้วยเหตุนี้มีหรือที่คนญี่ปุ่นจะอยู่เฉยโดยไม่หาเครื่องกันหนาว เรามาดูเครื่องกันหนาว และวิธีคลายหนาวของชาวญี่ปุ่นกัน เริ่มกันที่สิ่งที่ทุกบ้านจะต้องมีกันเลยค่ะ

http://www.ilovetogo.com/Article.aspx?mid=71&articleid=563


อ่านข้อมูลท่องเที่ยวที่น่าสนใจคลิกเลยจ้า

http://www.ilovetogo.com/

วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2552

ของฝากจากเกาหลี


ไปเกาหลีทั้งที ก็อยากจะซื้ออะไรกลับมาฝากครอบครัว เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ กันบ้าง หรือซื้อกลับมาเป็นที่ระลึกบ้าง แล้วจะซื้ออะไรดีนะ สำหรับคนที่ไปเกาหลีเป็นครั้งแรก ก็อาจจะไม่มีไอเดีย วันนี้ iLoveToGo.com มีไอเดีย ของที่น่าจะซื้อจากเกาหลี มาให้เพื่อนๆ อ่านเป็นข้อมูลกันค่ะ ^^/

คลิกเลยจ้า http://www.ilovetogo.com/Article.aspx?mid=44&articleid=88


JUMP SHOW รอยยิ้มแห่งการต่อสู้ เกาหลี



ปัจจุบันการต่อสู้ไม่ได้เป็นแค่วิชาการป้องกันตัว หรือเป็นเพียงแค่เกมกีฬาเท่านั้น แต่ยังเป็นศิลปะและการแสดงที่แม้ไม่ต้องใช้คำพูด แต่ด้วยท่วงท่าและลีลาอันสวยงามก็เป็นภาษาสากลที่สามารถสร้างความเข้าใจระหว่างกันได้ พร้อมด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ...ดังเช่นกรณีของ JUMP Show เสียงหัวเราะดังเป็นระยะ สลับกับเสียงปรบมือกึกก้องทุกครั้งที่ผู้แสดง


บนเวทีมีการโชว์ลีลาศิลปะป้องกันตัวในท่าทางที่โลดโผน กระโจนขึ้นฟ้าบ้าง ตีลังกาบ้าง กระโดดเตะบ้าง ฯลฯ เกิดขึ้นทุกรอบของการแสดง "JUMP" ที่จัดขึ้น ณ สยามพารากอนฮอลล์ เมื่อราวกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา


"จั๊มป์" เป็นละครเวทีรูปแบบใหม่จากประเทศเกาหลี เป็นละครใบ้ที่มีเอกลักษณ์อยู่ที่การนำเสนอศิลปะการต่อสู้แบบโบราณของเกาหลี ได้แก่ เทควันโด้และเทคยอน ผสมผสานกับศิลปะการต่อสู้ของชนชาติอื่นในแถบเอเชีย เช่น กังฟู คาราเต้ กระบี่กระบอง และมวยจีน โดยมีมุกตลกขำขันเป็นเสมือน "ผงชูรส"


อ่านต่อ และดูวีดีโอคลิป คลิกเลยค่า

http://www.ilovetogo.com/Article.aspx?mid=42&articleid=574


วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2552

NANTA Show สุดยอดโชว์ประเทศเกาหลี


NANTA Show เป็นการแสดงเกี่ยวกับการทำอาหาร โดยใช้อุปกรณ์ในครัวมาประกอบการแสดง จะมีจังหวะที่สนุกสนาน และ เนื้อเรื่องการแสดงที่ตลก เรียกเสียงฮาจากผู้ชมได้ตลอด จะมีนักแสดง 5 ชุดหมุนเวียนกันไป ดูจากรูปจะเห็นว่าดูแล้วน่าสนุกมากๆ เค้าเล่นกันเต็มที่จริงๆ ผักกระจุยกระจายเลย ขอบอกว่าค่าตั๋วไปดูเนี่ยคุ้มมาก

ดูวีดีโอคลิป โชว์ NANTA คลิกที่นี่ค่ะ ^^/

http://www.ilovetogo.com/Article.aspx?mid=32&articleid=567


วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552

ทำกิมจิด้วยตัวเองที่ กิมจิแลนด์ (Kimchi Land)

มาที่กิมจิแลนด์เพื่อมาสัมผัสความเป็นกิมจิอย่างถึงกึ๋น อ๊ะ สัมผัสทำไมหนะเหรอ ก็กิมจิเป็นเครื่องเคียงที่เราจะต้องเจอมันทุกมื้อที่เกาหลีหนะสิ ถ้าเจอกันบ่อยขนาดนั้นมาดูกันว่าที่กิมจิแลนด์ หรือ ดินแดนแห่งกิมจิจะมีกิจกรรมอะไรให้เราทำกันบ้าง




ก่อนอื่น เรามาเล่าเรื่องกิมจิแบบสั้นๆ กันก่อนดีกว่า...


กิมจิ (김치) มีข้อสันนิษฐานกันว่าน่าจะเพี้ยนมาจากคำว่า "ชิมเช" (침채) ที่แปลว่าผักดองเค็ม กิมจิเป็นอาหารเกาหลีประเภทผักดองที่อาศัยภูมิปัญญาก้นครัวของชาวเกาหลี ด้วยการหมักพริกสีแดงและผักต่างๆ โดยทั่วไปจะเป็นผักกาดขาว ชาวเกาหลีนิยมรับประทานกิมจิเกือบทุกมื้อ และยังนำไปปรุงเป็นส่วนประกอบอาหารอีกหลายอย่าง เช่น ข้าวต้ม ข้าวสวย ซุป ข้าวผัด สตู บะหมี่ จนถึงพิซซาและเบอร์เกอร์ ปัจจุบันกิมจิมีมากกว่า 187 ชนิด ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะมีรสเผ็ด เปรี้ยว และมีกลิ่นฉุน แม้ปัจจุบันมีบริษัทอาหารผลิตกิมจิสำเร็จรูปหรือแบบสดขายตามห้างสรรพสินค้าก็ตาม แต่ชาวเกาหลีก็ยังนิยมทำกิมจิกินเองที่บ้าน





วัตถุดิบในการทำกิมจิโดยทั่วไปแล้วจะเป็นผักกาดขาว, หัวผักกาด, กระเทียม, พริกแดง, หัวหอมใหญ่, ปลาหมึก, กุ้ง, หอยนางรม, หรืออาหารทะเลอื่นๆ, ขิง, เกลือ, และน้ำตาล


กิมจิมีมากมายหลายชนิดจากเอกสารของพิพิธภัณฑ์กิมจิในเมืองโซล กิมจิมีมากกว่า 187 ชนิดโดยจะแตกต่างกันตามถิ่นและสภาพอากาศ ตัวอย่างเช่นกิมจิหัวผักกาด เป็นหัวผักกาดล้วนไม่มีผักกาดขาวผสม กิมจิแตงกวายัดไส้ และกิมจิผักกาดขาวที่ถือว่าเป็นกิมจิที่รู้จักกันมากที่สุดในนานาชาติ ซึ่งจะเป็นการผสมผักกาดขาว พริกแดง กระเทียม ขิง และน้ำซุบจากปลากะตัก เข้าด้วยกันซึ่งผักกาดขาวควรจะเป็นผักกาดขาวจีน จึงจะได้กิมจิที่มีรสชาติดีและจัด หากทำจากผักกาดขาวชนิดอื่นจะทำให้กิมจิมีรสชาติที่อ่อนลง





เอาหละ มาเรื่องกิมจิแลนด์ของเรากันดีกว่า ที่กิมจิแลนด์เนี่ย พอมาถึงเค้าก็จะให้เราไปเริ่มเรียนวิธีการทำกิมจิ เค้าจะให้เราใส่ผ้ากันเปื้อนก่อน แล้วจะมีคุณครูสอนทำกิมจิมาบรรยายและเราก็ทำตามเค้า คือเอาผักกาดมาห่อแล้วทาด้วยน้ำหมัก





เสร็จแล้วเราจะได้กิมจิหน้าตาออกมาประมาณนี้ และเราสามารถให้เค้าช่วย Pack ห่อกลับบ้านได้ด้วย จะได้เอาไปอวดที่บ้านว่ากิมจิฝีมือเรานี่มันสุดยอดขนาดไหน!!!


เมื่อทำกิมจิเสร็จแล้ว เราสามารถไปซื้อกิมจิที่เค้าทำเสร็จใหม่ๆ เพื่อกลับไปทานที่บ้านแบบฝีมือระดับมืออาชีพได้อีกด้วย เค้าก็จะ Pack ใส่ฟรอยแล้วใส่กล่องโฟมอย่างดี ไม่มีปัญหาเรื่องกลิ่นแน่นอน





จากนั้นเค้าก็จะให้เราใส่ชุดฮันบกเพื่อถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกับฉากเกาหลีโบราณสไตล์แดจังกึม สำหรับผู้หญิง เวลานั่งต้องเอามือใส่เข้าไปในชุดฮันบกแบบรูปแรก เพราะมันเป็นประเพณีของเกาหลีที่เวลาผู้หญิงใส่ชุดฮันบกนั่ง จะต้องใส่มือเข้าไปในชุด (อันนี้ไกด์ท้องถิ่นเค้าให้โพสท่าแบบนี้อะ)


สำหรับกิมจิที่ซื้อจากที่กิมจิแลนด์เนี่ย ตอนกลับมาแกะออกมาจากฟรอยแล้วทานเลย รสชาติอาจจะจืดนิดหน่อย แต่ถ้าแช่ตู้ต่อไปอีกประมาณอาทิตย์ถึงสองอาทิตย์ รสชาติจะเข้มข้นขึ้นอีกมาก


อ่านข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิปได้ที่นี่ค่ะ http://www.ilovetogo.com

วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2552

สารพัดเรื่องเส้นๆ จากญี่ปุ่น

ในก๋วยเตี๋ยวญี่ปุ่น 1 ชามนั้น ประกอบไปด้วยเส้นก๋วยเตี๋ยว น้ำซุปรสกลมกล่อม และเครื่องต่างๆ ปกติแล้ว การทำซุปแบบญี่ปุ่นจะ ไม่ใช้เนื้อสัตว์ แต่ใช้ปลาโอแห้ง (Katsuobushi) ซีอิ้วญี่ปุ่น (Shoyo) และสาหร่ายทะเล (Kombu) เป็นส่วนประกอบหลักแทน แต่ถ้าอยากจะให้เป็นซุปแบบข้นก็ใส่เต้าเจี้ยวบดลงไป

แต่เพื่อนๆ รู้มั้ยคะว่า ก๋วยเตี๋ยวสไตล์ญี่ปุ่นนั้นมีเส้นหลายแบบมากเลยค่ะ และเส้นก๋วยเตี๋ยวทุกแบบนั้น ทำมาแป้งและน้ำเป็นหลัก แต่อาจจะมีอย่างอื่นผสมลงไปด้วยเช่นสีผสมอาหาร เพื่อเพิ่มความสวยงามน่ารับประทาน รวมไปถึงวัตถุดิบเพิ่มรสชาติ และคุณค่าทางอาหารมากขึ้น เช่น เกลือ ไข่ ชาเขียว สาหร่าย เป็นต้น

แล้วเพื่อนๆ สงสัยมั้ยคะว่า ทำไมเค้าต้องทำเส้นหลากหลายประเภทขนาดนั้น งั้นเราไปหาคำตอบกันเลยคะ

โซบะ (Soba)



ทำมาจากแป้งบักวีค (Buckwheat) เส้นมีสีน้ำตาลอ่อน ไม่ผสมแป้งชนิดอื่นลงไปมากนัก โดยทั่วไปจะเสิร์ฟพร้อมวาซาบิและสาหร่ายโนริ โซบะชนิดนี้หากเสิร์ฟแบบเย็นบนถาดไม้ไผ่จะเรียกว่า "ซารุโซบะ" (Zaru Soba) หรือหมี่เย็น ซึ่งเป็นอาหารยอดนิยมในฤดูร้อน ชะโซบะ (Cha soba) ลักษณะเหมือนเส้นโซบะแต่มีสีเขียว เพราะทำมาจากบักวีตกับชาเขียวค่ะ

ราเม็ง (Ramen)



ลักษณะเหมือนเส้นบะหมี่ หรือหมี่เหลืองบ้านเรา แต่เส้นกลมสีเหลือง ได้รับอิทธิพลมาจากจีน คำว่า Ramen ออกเสียงคล้ายกับ Lo mein ในภาษาจีน ซึ่งแปลว่า เส้นต้ม (Boiled Noodles) และมักจะเสิร์ฟในน้ำซุปที่มี 4 รส ได้แก่ น้ำซุปเต้าเจี้ยวญี่ปุ่น (Miso) น้ำซุปรสเกลือ (Shio) น้ำซุปซีอิ๊วญี่ปุ่น (Shoyu) น้ำซุปจากน้ำต้มกระดูกหมูน้ำข้น (Tonkotsu)

อุด้ง (Udon)



ทำจากแป้งสาลีผสมเกลือและน้ำเล็กน้อยนวดแล้วตัดเป็นเส้นยาวๆ ลักษณะของเส้นกลมยาวสีขาว หนา นุ่ม อุด้งต่างจากโซบะ และราเมงตรงที่เวลากินไม่ต้องจุ่มเส้นในน้ำซุปก่อนกิน ด้วยความที่มีขนาดเส้นใหญ่และเหนียวนุ่ม จึงให้ความอบอุ่นเป็นอย่างดีในฤดูหนาว

โซเม็ง (Somen)



คล้ายเส้นขนมจีน สีขาวนวล แต่เส้นเล็กและบางกว่าอุด้ง ทำจากแป้งสาลี มีชื่อเต็ม ๆ ว่า "ฮิยาชิ โซเมง" (Hiyashi Somen) นิยมกินกวันในฤดูร้อน โดยทำเป็นหมี่เย็นเสิร์ฟบนน้ำแข็งคู่กับซอสที่ชื่อ สึยุ (Tsuyu) ที่มีรสชาติหลักของปลาโอแห้ง ฮอนดาชิ สาเก มิริน น้ำตาล

ฮิยามูกิ (Hiyamugi)



ฮิยา แปลว่า เย็น ส่วน มูกิ แปลว่า ข้าวสาลี รวมแล้วแปลได้ว่า "ข้าวสาลีที่กินแบบเย็น ๆ " (ดูๆ ก็คล้ายๆ เส้นโซบะแต่ความแตกต่างจะอยู่ที่วัตถุดิบในการทำเส้นค่ะ) เริ่มแพร่หลายมาจากแถบคันไซ ฮิยามูกิมีขนาดเส้นเล็กใกล้เคียงกับโซเม็ง แต่มีความเหนียวนุ่มคล้ายกับอุด้ง และนิยมกินแบบเย็นๆ ในฤดูร้อนเช่นเดียวกับโซเม็ง ส่วนประกอบของเส้นคือแป้งสาลีกับน้ำเกลือ นวดแป้งและรีดให้เป็นแผ่นบาง ตัดให้เป็นเส้นก่อนนำมาพันให้เป็นก้อนก่อนลวกในน้ำร้อนและผ่านน้ำเย็น จากนั้นกินกับน้ำซอสเย็นแบบเดียวกับโซเม็ง

เส้นบุก (Shirataki)



เส้นใสคล้ายวุ้นเส้น แต่เส้นใหญ่กว่าทำจากหัวบุก (Elephant Yam) หรือ คอนยัก (Konjac) นิยมใส่ในอาหารประเภทหม้อไฟหรือสุกียากี้ ก่อนนำมาทำอาหารต้องลวกในน้ำเดือดให้หมดกลิ่นคาว

วุ้นเส้นญี่ปุ่น



ลักษณะเส้นใส แต่ใหญ่กว่าเส้นวุ้นเส้นของบ้านเรา มี 2 ชนิดคือ คึสึคิริ (Kuzukiri) ซึ่งทำจากแป้งมันผรั่งและแป้งรากสามสิบ อีกชนิดหนึ่งคือ ฮารุซาเมะ (Harusame) ทำจากแป้งมันฝรั่ง และแป้งข้าวโพด โดยทั้ง 2 ชนิดต้องต้มประมาณ 8-10 นาที ก่อนนำมาปรุงอาหาร เช่น สุกียากี้ แต่ถ้าทำป็นแกงจืดก็ต้มไปพร้อมกับน้ำแกงได้เลย

บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป (Instant Noodles)



นับเป็นสิ่งที่ชาวญี่ปุ่นภาคภูมิใจมากที่สุด ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 เลยก็ว่าได้ มีต้นกำเนิดมาจากช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นเกิดภาวะขาดแคลนอาหาร และได้รับบริจาคแป้งสาลีจากสหรัฐอเมริกาจำนวนมาก "โมโม-ฟุกุ อันโด" ผู้ก่อตั้งและประธานบริษัทนิชชิน จึงคิดนำแป้งสาลีมาแปรรูปทำเป็นเส้นบะหมี่แห้ง ซึ่งผ่านการแช่ในน้ำซุป และทอดด้วยน้ำมันร้อนจัดก่อนนำมาผึ่งให้แห้งเพื่อจะได้เก็บไว้นานๆ นำมากินได้ทันทีเมื่อเติมน้ำร้อน เริ่มต้นด้วยบะหมี่รสไก่ เป็นรสชาติแรกที่ออกวางขาย ปัจจุบันญี่ปุ่นถือเป็นเจ้าแห่งบะหมี่สำเร็จรูป เพราะมีหลากรส หลายเส้นให้เลือกซื้อตามสะดวก เพียงฉีกซอง ใส่เครื่องปรุง ชงนำร้อน 3 นาที ก็ทานได้แล้ว

สุดท้าย...สูตรเด็ดเคล็ดลับของการรับประทานบะหมี่

สำหรับคนญี่ปุ่น การรับประทานบะหมี่ให้อร่อย ต้องใช้ตะเกียบคีบเส้นและยกชามเพื่อซดน้ำซุปด้วยเสียงดัง ซึ่งถือเป็นมารยาทที่ยอมรับกันทั่วไปว่าให้เกียรติแก่คนที่ทำบะหมี่อร่อยๆ ให้เราทาน แต่ถ้าเป็นบ้านเรา ก็ซดค่อยๆ แล้วกันนะคะ อิอิ เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามค่ะ ^^/

อ่านข้อมูลท่องเที่ยวสุดฮิปอื่นๆ ได้ที่นี่ค่ะ http://www.ilovetogo.com/

วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2552

สวนสนุกล็อตเต้เวิลด์ (Lotte World)


ถ้าพูดถึงสวนสนุกประเทศเกาหลี หลายๆ คนคงนึกถึงแต่สวนสนุก เอเวอร์แลนด์ (Everland) อย่างแน่นอน แต่เดี๋ยวก่อน ยังมีสวนสนุกอีกแห่งที่มีชื่อเสียง และน่าสนใจอีกแห่งหนึ่งของเกาหลีคือ สวนสนุก ล็อตเต้ เวิลด์ (Lotte World) ฟังแค่ชื่อก็ วิ๊ดวิ่ว เหมือนหมากฝรั่งเลยทีเดียวเชียว งั้นเรามาดูกันเลยดีกว่า ไปกันเลย


จุดขายของสวนสนุกแห่งนี้คืออยู่ในตัวเมืองนั้นเองสามารถเดินทางไปเที่ยวได้ง่ายเหมาะมากกับนักท่องเที่ยวที่มีเวลาน้อย และนอกจากเป็นสวนสนุกแล้ว ที่นี่ยังมีห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนต์ และมีลานสเก็ตอยู่ใจกลางอีกด้วยเรียกได้ว่าที่นี่มีครบทุกอย่างเลยทีเดียว

เข้าเรื่องกันเลยดีกว่าที่สวนสนุก Lotte World แห่งนี้จะแบ่งออกเป็น 2 ที่เที่ยวหลัก ๆ คือ สวนสนุกในร่มจะเรียกว่า Lotte World Adventure และอีกที่หนึ่งคือ Magic Island ซึ่งเป็นสวนสนุกกลางแจ้งที่มีเครื่องเล่นที่หวาดเสียวอยู่หลายชนิด



เอาล่ะตอนนี้จะพูดถึง Lotte World Adventure กันก่อนล่ะกัน สวนสนุกในร่มนี้จะมีด้วยกันทั้งหมด 4 ชั้น แต่ล่ะชั้นจะมีทั้งเครื่องเล่นต่าง ๆ ร้านอาหาร และร้านขายของอัดรวมกันอยู่ และจะมีลานสเก๊ตน้ำแข็งขนาดใหญ่อยู่ตรงกลางด้วย บอกได้ว่าน่าเล่นมาก เครื่องเล่นที่แนะนำว่าต้องไปเล่นให้ได้เลยคือ The Adventure of Sindbad,The Conquistador,Flume Ride,The French Revolution,Jungle Adventure และ Pharaoh's Fury สำหรับเครื่องเล่นที่กล่าวมาบอกได้เลยว่าเป็นเครื่องเล่นที่ฮิตมาก ๆ ทำให้เครื่องเล่นเหล่านี้จะมีบัตรคิวให้เรา ที่นี่เค้าเรียกว่า Magic Pass บอกได้เลยว่าช่วยได้มากเลยล่ะ ไม่ต้องไปยืนต่อคิวอยากเล่นก็ไปกดบัตรจองเอาไว้แล้วก็รอเวลาเล่นเท่านั้นเอง



และนอกจากที่กล่าวแล้วยังมีขบวนพาเหรดที่น่าตื่นตาตื่นใจอีกด้วย และที่เรียกว่าเป็น Hightlight ของที่สวนสนุกแห่งนี้เลยคือ Laser Show ซึ่งเป็นการแสดงแสงสี เลเซอร์ประกอบดนตรี อลังการมาก ๆ แต่เค้าจะจัดแสดงตอน 21.30 น. ถ้าใครอยากดูล่ะก็ต้องอยู่ดึกหน่อยแล้วล่ะ


เอาล่ะอยู่ในร่มมาก็นานแล้วออกกลางแจ้งบ้างดีกว่า ซึ่งในส่วนที่อยู่กลางแจ้ง ที่เรียกกันว่า Magic Island นั้น จะเป็นสวนสนุกที่มีน้ำล้อมรอบโดยนักท่องเที่ยวจะไปที่นี่จะต้องมาทางชั้น 2 ของ Lotte World Adventure และของเล่นที่แนะนำคือ Atiantis , Gyro Drop , Gyro Swing , Comet Express เป็นอะไรที่น่าหวาดเสียวมาก ๆ เลยล่ะ เครื่องเล่นพวกนี้ก็ต้องกดบัตรคิวเช่นเดียวกัน ถ้าต้องการเล่นเครื่องเล่นเหล่านี้ต้องจัดเวลาดี ๆ นะครับ


และอีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจอีกหนึ่งที่คือ พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านเกาหลี ( Lotte World Folk Museum) การเข้าชมที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ถ้าใคร ตีต๋วเข้าสวนสนุกแล้วสามารถเข้าชมได้ฟรี แต่ถ้าใครต้องการมาชมโดยเฉพาะ จะต้องเสียค่าเข้าชม ประมาณ 4500 วอน อาจจะแพงไปนิด เพราะเป็นของเอกชนนะครับเลยแพง พิพิธภัณฑ์นี้จะจัดแสดงวิถีความเป็นอยู่ของคนพื้นบ้านเกาหลีในอดีตมีบรรยากาศเกาหลีสมัยโบราณด้วยนะครับถ้าใครเล่นเครื่องเล่นจนเมื่อยแล้วที่นี่ก็น่าสนใจไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว


สำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากไปเที่ยวสวนสนุก Lotte World แห่งนี้ แนะนำนะครับว่าความจะมีเวลาทั้งวัน เพื่อที่จะสามารถเล่นเครื่องเล่นให้ได้ครบนั้นเอง สวนสนุกแห่งนี้จะเปิดทั้งปี คือ 365 วันนั้นเอง และจะเปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 9.30-23.00 น. และถ้าใครไปเที่ยวตรงกับช่วงปิดเทอมล่ะก็ทำใจนะครับคนจะเยอะมาก และจุดถ่ายรูปที่สำคัญที่จะแนะนำคือลูกบอลกลม ๆ ที่อยู่ใจกลางสวนสนุก เป็นจุดถ่ายรูปยอดฮิตเลยก็ว่าได้ และอีกทีหนึ่งคือ ทางเดินที่ตรงไปยัง Magic Island ทางเดินที่ทอดยังไปยังปราสาทอะครับ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งที่ที่ไม่ควรพลาด

อ่านข้อมูลท่องเที่ยวเพิ่มเติมคลิกที่นี่จ้า

วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2552

พิพิธภัณฑ์ราเม็ง (Shin Yokohama Raumen Museum)



มาถึงที่โยโกฮาม่า จากสถานีชินโยโกฮาม่าขึ้นไปทางเหนือ ไม่ไกลนัก เราจะพบ พิพิธภัณฑ์ราเม็ง (Shin Yokohama Raumen Museum) หรือที่เรียกกันว่า ราเม็งมิวเซียม นั่นเองค่ะ เปิด 11.00 - 23.00 น. (เข้าก่อน 22.00 น.) พอจ่ายค่าบัตรผ่านประตูผู้ใหญ่ 300 เยน เด็ก 100 เยน (ไม่รวมค่าราเม็งนะจ้ะ) เสร็จแล้วก็เข้าไปชมข้างในกันได้เลยค่ะ



ขอเล่าประวัติของราเม็งสักเล็กน้อยนะคะ เนื่องจากท่าเรือใหญ่ของญี่ปุ่นนั้นคือเมืองโยโกฮาม่า และก็อยู่ไม่ไกลจากโตเกียวด้วย ทำให้โยโกฮามาเปรียบเหมือนประตูแห่งญี่ปุ่นเลยละค่ะ



เพราะว่าชาวต่างชาติใครไปใครมาก็จะมาหยุดอยู่ที่ท่าเรือโยโกฮามาก่อนจะเข้าโตเกียว ทำให้มีวัฒนธรรมนานาชาติผ่านเข้าสู่ญี่ปุ่น ณ จุดนี้ ซึ่งราเม็งก็เป็น 1 ในวัฒนธรรมที่ชาวจีนนำเข้ามาด้วยตอนที่อพยพมาทำงานตามเมืองท่าเรือ ในช่วงแรกเรียกว่าบะหมี่จีน พอคนญี่ปุ่นมาชิมปุ๊บก็เลยติดใจและดัดแปลงรสชาติให้เข้ากับคนญี่ปุ่น เกิดเป็นราเม็งน้ำข้นบ้างน้ำใสบ้าง มีเนื้อหมูฝานเป็นแผ่นบางๆ ส่วนใหญ่มักเป็นหมูมีมันตรงกลาง



ราเม็งมีหลากหลายชนิดแตกต่างกันตามภูมิภาค โดยชนิดของราเม็งจะแบ่งตาม เส้นก๋วยเตี๋ยว เนื้อ และน้ำซุป สามอย่างนี้เป็นหลัก โชยุราเม็ง (ราเม็งซีอิ๊ว), มิโซะราเม็ง, พลายราเม็ง, บันชูราเม็ง, ทะกะยะมะราเม็ง, โอโนะมิจิราเม็ง, จุ้ยราเม็ง, ปาล์มราเม็ง จุดเด่นอยู่ที่น้ำซุปราเม็งที่แสนจะเข้มข้น กับเส้นเหนียวนุ่มนี่ละค่ะ ที่ราเม็งมิวเซียม มีทั้งหมด 3 ชั้นด้วยกันค่ะ ตามแผนที่ด้านล่าง แต่ละชั้นก็จะแตกต่างกันออกไป



ชั้นแรกที่พบ ก็จะมีการเล่าถึงประวัติความเป็นมาของราเม็งญี่ปุ่น เครื่องมือในการใช้ผลิตเส้นราเม็ง และราเม็งชนิดต่างๆ และมีร้่านขายสินค้า ของที่ระลึกก็จะเป็นพวกราเม็งกึ่งสำเร็จรูปเอาไปทำกินเองที่บ้าน มีอุปกรณ์การกินราเม็งมากมาย เช่น ชาม ถ้วย ช้อน ตะเกียบ เส้นที่เอาไว้ทำราเม็งค่ะ

และถ้าเพื่อน ๆ มาเที่ยวไม่ว่าจะเป็นที่นี่หรือไปเที่ยวที่ไหนสิ่งที่ขาดไม่ได้คงจะเป็นพวกของฝากหรือของที่ระลึกต่าง ๆ ใช่มั้ยค่ะ ที่พิพิธภัณฑ์ราเม็งแห่งนี้ก็มีให้เพื่อน ๆ ได้เลือกกันอย่างมากมาย เอาเป็นว่าอาจจะถือกลับไม่ไหวเลยด้วยซ้ำ



มีการแสดงบะหมี่ในแนวต่างๆค่ะ ภาพด้านซ้ายเป็นบะหมี่ถ้วย ส่วนภาพด้านขวาเป็นบะหมี่ที่ออกแบบมาเพื่อรับประทานในอวกาศในสภาพที่ไร้แรงโน้มถ่วง ประมาณว่าตัดซองปั๊บ พอบะหมี่ลอยออกมาก็งับเข้าปากได้เลยค่ะ แหม คนญี่ปุ่นนี่ช่างคิดจริงๆ

และที่เด็ดที่สุดเลยต้องเป็นชั้นใต้ดินค่ะ เพราะในชั้นใต้ดินแห่งนี้มีร้านขายราเม็งอยู่มากมายค่ะ ตกแต่งในสไตล์ย้อนยุคไปช่วงประมาณ พ.ศ. 2500 และไม่ได้เด่นเรื่องบรรยากาศแค่นั้นนะ รสชาตินี่สุดยอดเลยด้วย



นอกจากร้านขายราเม็งแล้วยังมีร้านค้าสมัยเก่าอีกหลายร้าน ไม่ว่าจะเป็นร้านขายขนมแบบย้อนยุค หรือร้านขายของฝากก็มีอยู่หลายร้านเช่นกันยังไงก็แวะอุดหนุนเค้าบ้างนะ

ร้านราเม็งที่ราเม็งมิวเซียมแห่งนี้ มีเพียง 8 ร้านที่ผ่านการคัดเลือกว่าทำราเม็งได้อร่อยที่สุดในญี่ปุ่นเลยทีเดียวค่ะ โดยแต่ละร้านจะมาจากเมืองแห่งราเม็ง เช่น ซัปโปโร, ฟูคุชิมะ, วาคายามะ, ฮากาตะ แหม สำหรับราเม็งเลิฟเวอร์นี่ห้ามพลาดเด็ดขาด วิธีการทานราเม็งที่นี่ออกจะแปลกสักนิดนะคะ คือเราต้องเลือกร้านราเม็งที่ถูกใจก่อน โดยที่หน้าร้านจะมีตู้กดเลือกชนิดของราเม็งที่เราสนใจ มีรูปพร้อมราคาบอกไว้เสร็จสรรพ เรามีหน้าที่ใส่เงินเข้าไป แล้วกดเลือกป้ายที่ต้องการ คูปองของราเม็งชนิดที่เราต้องการก็จะหล่นลงมา เราก็เอาคูปองนั้นเข้าไปนั่งในร้านยื่นให้พนักงานรอคิวสักครู่ เมื่อที่นั่งในร้านว่างจึงจะเข้าไปรับประทานได้ค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2552

หมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go)


หมู่บ้านแห่งนี้ เรียกว่าเป็น หมู่บ้านโบราณมรดกโลก ค่ะได้รับการขึ้นทะเบียน เป็นหมู่บ้านมรดกโลกทางวัฒนธรรม จากองค์การยูเนสโก เมื่อปี 1995 จะอยู่ท่ามกลางหุบเขาทางเหนือของเมืองทาคายามะ เป็นหมู่บ้านโบราณขนานแท้แบบญี่ปุ่นที่หลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน จะเป็นสไตล์การก่อสร้างและตกแต่งแบบ โรงนา หลังคา กัสโซ่ เป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเลยค่ะ



การเดินทาง สามารถใช้ทางด่วนที่เพิ่งสร้างเสร็จ ระหว่างชิราคาวาโกะ และฮิดะ-คิโยมิ ได้เปิดใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 6 ก.ค. ที่ผ่านมา ผลที่ได้คือระยะเวลาในการเดินทางจากบริเวณด้านตะวันออกของญี่ปุ่นสู่ชิราคาวาโกะ จะลดลงระยะเวลาการเดินทางด้วยรถประจำทางระหว่างทาคายามา (Takayama) และชิราคาวาโกะ จาก 2 ชั่วโมง เหลือเพียง 50 นาที


หมู่บ้านมรดกโลกชิราคาวาโกะและบริเวณโกคายาม่า ที่อยู่ใกล้กันเป็นหมู่บ้านชาวนาที่ตั้งอยู่ในหุบเขาตามลำน้ำ Shogawa ตามแนวสันเขาที่ทอดยาวตั้งแต่เขตจังหวัด Gifu ถึง Toyama ชิราคาวาโกะ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี 1995 มีบ้านแบบกัสโชสึคุริ (Gassho-zukuri) เป็นบ้านชาวนาโบราณที่มีอายุมากกว่า 250 ปีบ้านในแบบกัสโชสึคุริ


บ้านแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม ชื่อนี้ได้มาจากคำว่า “กัสโช” ซึ่งแปลว่า “พนมมือ” ตามรูปแบบของบ้านที่หลังคาชันถึง 60 องศา มีลักษณะคล้ายสองมือที่พนมเข้าหากัน ตัวบ้านมีความยาวประมาณ 18 เมตร และมีความกว้าง 10 เมตร ซึ่งมีโครงสร้างของบ้านสร้างขึ้นโดยไม่ใช้ตะปูแม้แต่ตัวเดียวอีกทั้งวัสดุอุปกรณ์ในการก่อสร้างต่างๆ ล้วนแต่มาจากวัสดุจากธรรมชาติทั้งสิ้น อย่างต้นหญ้าที่ปลูกไว้เพื่อนำมาใช้มุงเป็นหลังคาขนาดหนาแต่ยังคงความแข็งแรงสามารถรองรับหิมะที่ตกมาอย่างหนักในช่วงฤดูหนาวได้เป็นอย่างดี


หมู่บ้านเหล่านี้ อยู่บนภูเขาในพื้นที่ห่างไกล บนพื้นที่ราบสูงฮิดะ (Hida) ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 1995 พื้นที่ของหมู่บ้านท่ามกลางหุบเขา และธรรมชาติของใบไม้ที่ผลิใบสีเขียวสดใสในฤดูใบไม้ผลิ เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดงในฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาวที่หมู่บ้านถูกปกคลุมไปด้วยสีขาวหมดจดของหิมะ หมู่บ้านมีความเป็นมาและคงความเป็นอยู่ดังมนต์ขลังแห่งเทพนิยาย ลักษณะของบ้านที่สร้างตามแบบเฉพาะนี้ (Gassho Style) มีหลังคาเป็นสามเหลี่ยมทรงสูงคล้ายลักษณะการพนมมือ เมื่อยามที่สวดมนต์ โครงสร้างภายในจะเป็นหลายชั้น อาจเป็น 3 หรือ 4 ชั้น มีรายละเอียดพิถีพิถัน และมีลักษณะเฉพาะออกไปตามการใช้งาน และแสดงถึงความชาญฉลาดของผู้ปลูกสร้าง และอยู่อาศัย ภายในจะมีผ้าไหมที่รอปูรองไว้เพื่อให้ความอบอุ่นเมื่อยามหน้าหนาวมาเยือน ที่พื้นบ้านในชั้นแรกหลังคาที่มีมุมประมาณ 60 องศา เพื่อให้หิมะไหลได้ง่ายป้องกันการทับถมของหิมะในยามที่หิมะตกหนัก




จุดท่องเที่ยวที่ดีที่สุดในการสัมผัสบรรยากาศคือการพักค้างคืนในหมู่บ้านชาวนา มีบ้านหลายๆ หลังเปิดให้เป็นที่พักในแบบที่เรียกว่า Minshuku โดยเฉพาะที่ Ogimachi เป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ที่สุดของชิราคาวาโกะ บ้านวาดะ (Wada) และ บ้านนางาเสะ (Nagase) ในโอกิมาชิ (Ogimashi) เปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวเพื่อที่จะได้รับประสบการณ์การเรียนรู้ว่าชาวบ้านดำรงชีวิตอย่างไรในอดีตที่ผ่านมา โดยเฉพาะในวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนสิงหาคมทุกปี จะมีประเพณีลุยน้ำ ซึ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างมากที่ โกคายาม่า (Gokayama) มี หมู่บ้านอาอิโนะคุระ (Ainokura) ที่ซึ่งหมู่บ้านตั้งตระหง่านท้าทายขุนเขาอยู่ตลอดเวลา และ หมู่บ้านสุกะนุมะ (Suganuma) กับบ้าน 9 หลังที่รวมอยู่ในบ้าน 2 หลัง เป็นสิ่งล้ำค่าที่จะได้มาสัมผัสกับบ้านที่เป็นวัฒนธรรมอันเก่าแก่ และมีค่าของญี่ปุ่นนี้ จุดชมวิวของ ปราสาทโอกิมาชิ (Ogimashi) ได้รับความนิยมมากสำหรับการชมทัศนียภาพของหมู่บ้านชิราคาวาโกะ จะสามารถมองเห็นหมู่บ้าน 59 หลังคาเรือน จุดชมวิวนี้เหมาะมากกับการชมภาพมุมกว้างของหมู่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นความเขียวชอุ่มของฤดูใบไม้ผลิ สีน้ำตาลแดงของฤดูใบไม้ร่วง หรือว่าในยามที่มีหิมะตกปกคลุม